วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หมาน้ำ


เรื่องของหมาน้ำ

หมา น้ำ กำลังจะสูญพันธุ์ อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ หมาน้ำ ไม่ใช่ ม้าน้ำ ค่ะ หลายๆคนคงจะสงสัย เกิดมายังไม่เคยเห็นว่าหน้าตามันเป็นยังไง จะรีบสูญพันธุ์ไปไหน ก็คงจะไม่ผิดนัก จริงๆแล้ว หมาน้ำ เป็นชื่อเล่นที่คนไทยในหมู่ที่ชอบเลี้ยงสัตว์ประหลาดเค้าเรียกกัน


ส่วน ชื่อจริงของเจ้าหมาน้ำคือ Axolot ฟังดูไฮโซกว่าหมาน้ำเป็นไหนๆ เจ้าแอ๊กโซลอต จริงๆแล้วเป็นสัตว์ในตระกูลซาลาเมนเดอร์ ตาไม่ฟาดแน่ๆ มันคือลูกพี่ลูกน้องตะกวดดีๆนี่เอง แต่มันอาศัยอยู่ในน้ำ ไม่รู้ว่ามีพ่อเป็นตะกวด มีแม่เป็นปลา หรือเปล่า ถึงได้หน้าตาลูกครึ่งขนาดนี้


แต่ บางที่ก็เรียกมันว่าปลาตีนแม็กซิโก หรือสัตว์ประหลาดน้ำแม็กซิโก ตามแหล่งอาศัยของมัน แต่ดูไปดูมามันก็น่ารักน่าชังดีออก แต่คิดอีกทีมันเหมือนพวกเอเลี่ยนบุกโลกยังไงอย่างงั้น


สิ่งที่แตกต่าง ระหว่าง จิ้งจกน้ำ หรือ salamander กับ หมาน้ำ
คือ หมาน้ำมี เหงือก ข้างลำตัว ส่วนจิ้งจกน้ำ ไม่มีค่ะ
อืกอย่างหนึ่ง หมาน้ำจะอยู่ในน้ำ ตลอดชีวิตของมันไม่เหมือน salamander ที่พอโตเต็มวัย จะขึ้นมาอยู่ตามที่ชื้นแฉะ ติดลำธารจ้า





ดอร์เม้าส์ (Dormouse)

มีมากกว่า 20 สายพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์จัดแยกออก จากกลุ่มหนู พบเห็นได้ทั้งใน ญี่ปุ่น ยุโรป และ แอฟริกา แต่ละชนิดมีถิ่นที่อยู่ สีสัน ขนาดแตกต่างกันไป มีความเหมือนตรง ลักษณะรูปร่าง และนิสัยที่คล้ายกระรอก โดยสายพันธุ์นิยมเลี้ยงมาก คือ “ปิ๊กมี่ ดอร์เมาส์” (Afri can pygmy dormouse) ส่วนหนึ่งเป็น เพราะขนาดเล็กที่สุด จนได้ฉายาว่า “กระรอกจิ๋ว”

ทั้งนี้ ลักษณะโดยทั่วไป ของมันคือ ขน ด้านบนตัวเป็นสีเทาอ่อน ท้อง สีขาวครีม เมื่ออายุมากขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง และที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวก็ตรงที่ “หางฟู” สามารถวัดขนาดความยาวได้เท่ากับลำตัว ส่วน พฤติกรรมจัดเป็นสัตว์กลางคืน แต่ในบางครั้งก็อาจหากินได้ทั้งวัน ซึ่งอาหารจะเป็นชนิดเดียวกับสัตว์ฟันแทะทั่วไป

และ…ถ้าเอามาเลี้ยงสามารถให้อาหารเม็ดสำหรับ หนูแฮมสเตอร์ อาหารแมวไขมันต่ำ อาหารนกเขา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ควร เสริมด้วยผลไม้สด ผลไม้ แห้ง นมอัดเม็ด โยเกิร์ต ผักสด จิ้งหรีด หนอนนก และ ขนมปัง สลับสับเปลี่ยนกันไป

ตัวจิ๋ว” เป็นสัตว์ สังคมชอบอยู่รวมกันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม สถานที่เลี้ยงต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 24 ํC สามารถเลี้ยงได้ในตู้ปลาขนาด 20 นิ้ว โดยใส่วัสดุรองพื้น อาทิ กระดาษฝอย ขี้เลื่อย ซังข้าวโพด หรือ ทรายสำเร็จรูป ให้สูงประมาณ 2 นิ้ว และควรใส่หญ้าแห้ง เศษผ้า หรือเศษไหมพรมไว้ให้มันคาบไปรองรังนอน

ตามด้วยกิ่งไม้แห้ง เชือก โพรงไม้ เพื่อให้พวกมันปีนป่ายแก้ “เซ็ง” ที่สำคัญ ควรหาบ้านไม้สำเร็จรูป หรือ กระถางดินเผา เล็กๆ ให้มันเข้าหลบซ่อนในเวลากลางวัน เพื่อช่วยลดความเครียด ถ้าหากอากาศเริ่มเย็น “เจ้าหางฟู” จะหาโพรงไม้ รังนกเก่า เพื่อเข้าไป “จำศีล” ตลอดช่วงฤดูหนาว แต่พอมาอยู่ในบ้านเรามันก็มีอาการ “ศีลแตก” ได้ เพราะที่นี่อาหารมีความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งความเย็นยังไม่มากเท่ากับบ้านเกิดของมันนั่นเอง…

ดอร์เม้าส์

เมื่อโตเต็มวัยซึ่งอยู่ในช่วงราว 6 เดือน วัดขนาดได้ประมาณ 3-4 นิ้ว น้ำหนัก 25-30 กรัม ควร แยกตัวผู้ออกเพราะ “เจ้าหนุ่ม” จะเริ่มทะเลาะกันเองเพื่อแย่งคู่ครอง เราสามารถสังเกตได้จากเสียงร้อง “คริกๆ” คล้ายจิ้งหรีด ฉะนั้น เพื่อไม่เป็นการ “ทำร้ายกันทางธรรมชาติ” มากนัก ควรจัดให้อยู่เป็นคู่ ซึ่งอัตราที่เหมาะสมคือ ตัวผู้ 1 ตัว/ตัวเมีย 2 ตัว หลังผ่านเวลา “สปาร์ก” “สาวเจ้า” จะใช้เวลาตั้งท้องราว 25-30 วัน จึงตกลูกครอกหนึ่งมีตั้งแต่ 2-10 ตัว ช่วงนี้ควรให้สมาชิกใหม่อยู่กินนมแม่อย่างน้อย 18-20 วัน ซึ่งจะทำให้อัตราการ รอดสูง…



























กิ้งก่าคาเมเลี่ยน...สัตว์ตัวจิ๋วแห่งมาดากัสการ์
( Chameieon )

คา เมเลี่ยน เป็นกิ้งก่าที่มีขนาดตั้งแต่ 8-12 นิ้ว เป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ช้ามาก เพราะแต่ละก้าวต้องมาจากความมั่นใจ ด้วยสายตาที่ระแวดระวังภัยทุกด้าน ไม่มีเล็บที่แหลมคมสามารถจับเล่นได้ และปรับเปลี่ยนสีลำตัวตามอารมณ์ และอุณหภูมิ โดยจะมีสีเข้มขึ้นเมื่ออากาศร้อน หรือเมื่อตกใจและต่อสู้กันก็จะมีสีเปลี่ยนไป กิ้งก่าคาร์เมเลี่ยนมีหลากหลายสี เช่น แดง ฟ้า เขียว เหลือง ส้ม น้ำตาล หรือดำ เป็นต้น

โดย ส่วนใหญ่พบที่ทวีปแอฟริกา ตามหมู่เกาะต่างๆ ที่มีสภาพป่าโปร่งที่สมบูรณ์และจะอาศัยอยู่บนกิ่งไม้นิ่งๆ ด้วยเท้าที่สามารถเกาะกิ่งก้านของต้นไม้ได้อย่างดี น้อยครั้งที่ จะพบเห็นกิ้งก่าเหล่านี้อาศัยตามพื้นดิน นอกเสียจากจะลงมาวางไข่เพื่อขยายพันธุ์ โดยจะใช้เท้าขุดดินลงไปให้ลึกพอสมควร แล้วจึงวางไข่ลงไปในนั้น จนสุดท้ายก็กลบปากรูเอาไว้ และกลับขึ้นมาอาศัยอยู่บนต้นไม้ตามเดิม

ลักษณะเด่นของคาเมเลี่ยน

  • ผิวหนัง สามารถ เปลี่ยนสีผิวตามอารมณ์นั้นๆ ได้ ก็เนื่องมาจากลักษณะพิเศษของชั้นผิวหนัง และเม็ดสี ผิวหนังชั้นนอกเหล่านี้ตอบสนองต่อแสงและความร้อน ส่วนผิวหนังชั้นในจะตอบสนองต่อสารเคมี เป็นสาเหตุทำให้เซลล์มีการหดและขยายตัว อย่างเช่นในภาวะปกติจะแสดงสีเขียว ในขณะที่โกรธจะแสดงสีเหลือง
  • ตา ตา ของคาเมเลี่ยนมีลักษณะเป็นวงกลมค่อนข้างใหญ่ นูนขึ้นมาและมีขนาดใหญ่ โดยมีเปลือกตาที่ใหญ่และหนาเป็นชั้นๆ มาปิดลูกตาทำให้มองเห็นลูกตาขนาดเล็ก ซึ่งสามารถมองเห็นได้รอบทิศทางในรัศมีความกว้าง 360 องศา ทั้งสองข้างแบบไม่พร้อมกัน นอกจากนี้ตายังสามารถบอกสุขภาพได้อีกด้วย ซึ่งกิ้งก่าที่ใกล้ตาย หรือขาดน้ำ ตาจะลึกลงไปมาก หากเราพบเห็นตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถเสริมน้ำและวิตามินได้
  • เท้า มี ลักษณะเท้าที่เป็นเอกลักษ์ คือ มีนิ้วเท้าทั้งหมด 5 นิ้ว และมีเล็บทุกนิ้ว แต่ว่านิ้ว 5 นิ้วนั้นจะแยกออกเป็น 2 ง่าม แบ่งเป็น 2 นิ้วและ 3 นิ้วติดกัน เวลาเดินจะใช้ง่ามหนีบกิ่งไม้ ด้วยนิ้วเท้าลักษณะนี้ทำให้สามารถทรงตัวได้ดีบนต้นไม้
  • ลิ้น ลิ้น ของคาเมเลี่ยนมีความยาวมาก ยาวพอๆ กับความยาวลำตัว ไว้สำหรับจับแมลงต่างๆ เพื่อเป็นอาหาร ที่บริเวณปลายลิ้นยังจะมีสารเหนียวไว้คอยจับแมลง มีลักษณะคล้ายท่อกลมที่ปลายลิ้น ไว้จับแมลงแล้วดึงเข้าปากและกลืนแมลงเข้าปากโดยเร็ว


"เบียร์ด ดรากอน" มังกรเครา แห่งทะเลทราย (เทคโนโลยีชาวบ้าน)

เกือบสิบปีก่อน "อีกัวน่า" กลายเป็นสัตว์แปลกฮ็อตฮิตที่ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการสัตว์เลี้ยง (แนวแปลก)เมืองไทย แต่สุดท้ายความนิยมก็ค่อยๆ ลดลำดับจนตกกระป๋อง ด้วยเหตุจากความหลากหลายของชนิดสัตว์ต่างถิ่นที่มีอยู่มากมายบนโลกได้ทยอย เข้ามาสร้างความรู้จักกับคนรักสัตว์เมืองไทยจนต้องเผลอปันใจไปเชยชมสัตว์ ชนิดอื่นๆ ดูบ้าง

แม้อีกัวน่าจะถูกเมิน แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความชื่นชอบในตัวของสัตว์เลื้อยคลานตระกูลกิ้งก่ายัง คงมีอยู่และมีความหลากหลายมากกว่าอดีต ซึ่งในยุคหลังคงไม่มีกิ้งก่าตัวไหนมาแรงแซงหน้า "เบียร์ด ดรากอน" (Bearded Dragon) กิ้งก่าทะเลทรายที่มีขนาดเล็กกว่าอีกัวน่ายักษ์หลายเท่าตัว แต่มีความองอาจน่าเกรงขามไม่แพ้กัน จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานที่เข้ามาแพร่หลายในเมืองไทยมานานหลายปี แต่ยังคงได้รับความนิยมถึงปัจจุบัน

เบียร์ด ดรากอน มีชื่อเรียกตามคำแปลตรงตัวว่า "มังกรเครา" บ้างเรียก "กิ้งก่าเครางาม" ซึ่งเรียกกันตามลักษณะของผิวหนังใต้คางที่พองขยายขึ้นเมื่ออยู่ในภาวะอารมณ์ ตื่นเต้นในเวลาผสมพันธุ์ หรืออยู่ในภาวะที่ต้องข่มขวัญเมื่อเจอศัตรู ผิวหนังย่นๆ บริเวณนั้นยังถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ซึ่งมีทั้งในตัวผู้และตัวเมีย มองดูแล้วจึงคล้ายคลึงกับเคราของมนุษย์ ผิวหนังตามลำตัวเต็มไปด้วยตุ่มหนาม โดยเฉพาะสีข้างลำตัวทั้งซ้ายขวาจะเห็นหนามแหลมเรียงตัวอย่างชัดเจน กิ้งก่าชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่แห้งแล้ง แถบทะเลทรายในประเทศออสเตรเลีย มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ตั้งแต่หัวจรดหางราว 1-1.5 ฟุต มีน้ำหนัก 300-500 กรัม และสามารถสังเกตเพศได้ชัดเจนเมื่ออายุ 1 ปี

"หลายคนสงสัยว่า ทำไม เจ้าเบียร์ด ดรากอน ถึงเป็นที่สนใจในคนรักสัตว์มากนัก นั่นเป็นเพราะว่าการเลี้ยงดูไม่ยุ่งยากนัก มีสีสันที่หลากหลาย ทั้งยังมีรูปร่างที่คล้ายกับมังกรเเละไดโนเสาร์ จึงทำให้รู้สึกเหมือนสัตว์ในอดีตได้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ และด้วยความที่เลี้ยงง่ายเลยทำให้เบียร์ด ดรากอน เป็นที่นิยมในคนรักสัตว์ในปัจจุบันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งมันเหมาะกับผู้ที่เริ่มเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานด้วย กิ้งก่าชนิดนี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมตลอดกาลอีกตัว หนึ่ง" คุณรัฐกิจ จันทรสีมา หรือ คุณรัฐ บอกเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจเลี้ยงเจ้ามังกรเคราชนิดนี้มานานกว่า 3 ปี

เบียร์ด ดรากอน เลี้ยงได้ทั้งในกล่องพลาสติก หรือตู้ปลาขนาดใหญ่ จัดตำแหน่งไฟหรือแดดให้ส่องถึง ทั่วพื้นที่ให้ใส่ทรายและตั้งวางก้อนหินหรือโพรงไม้ให้เป็นมุมส่วนตัว ให้อาหารทั้งเเมลงเเละผักสด เช่น จิ้งหรีด หนอนนก หนอนยักษ์ หนอนเเว็กซ์ หรือแว็กซ์วอร์ม (Waxworm) เเละหนูแดง ส่วนผักสด เช่น ผักกวางตุ้ง แครอต ฟักทอง บล็อกโคลี่ ผักกาดหอม แต่ควรเสริมวิตามินเเละเเคลเซียมสำหรับสัตว์เลื้อยคลานสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยการคลุกกับจิ้งหรีด เเละหมั่นแช่ในน้ำอุ่น โดยใส่ในภาชนะก้นตื้น เพื่อป้องกันเบียร์ด ดรากอน ที่มีขนาดเล็กจมน้ำ



กิ้งก่า "เบียร์ด ดรากอน" (Bearded Dragon)


ไม่เพียงการดูแลที่ไม่ยุ่งยาก สีสันและลวดลายของเบียร์ด ดรากอน จึงเป็นลักษณะเด่นให้คนรักสัตว์แปลกส่วนใหญ่หลงใหล นิสัยใจคอของกิ้งก่าชนิดนี้ยังสามารถปรับตัวให้เข้ากับผู้เลี้ยงได้อย่างดี เห็นท่าทางที่ชอบเชิดหน้าชูคอของพวกมัน อย่าคิดว่าหยิ่ง เพราะหากทำความรู้จักและคุ้นเคยกับมันแล้ว จะรู้ว่ามันเชื่องและสามารถจับเล่นได้อย่างง่ายดาย แม้ไม่ใช่เจ้าของ

"เบียร์ด ดรากอน เป็นสัตว์ที่ค่อนข้างเชื่อง เเละคุ้นชินกับคนได้ง่าย สามารถจับเล่นเเละให้อาหารจากมือของเราได้ ทำให้เราสามารถใช้มันในการทำให้เด็กเกิดการรักสัตว์ เเละมีความรับผิดชอบได้ เเต่ทั้งนี้ควรอยู่ในดุลพินิจของผู้ใหญ่ด้วย เพราะถ้าเลี้ยงมันไม่ถูกวิธีเเละขาดการดูเเลจะไม่ดีต่อสัตว์เลี้ยงเรา ผมขอแนะนำว่าการเล่นกับเบียร์ด ดรากอน เราไม่ควรเล่นกับมันเเรงเกินไป หรือบ่อยมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้สัตว์ได้รับบาดเจ็บเเละเครียดได้ ที่สำคัญคือก่อนเเละหลังการเล่นกับเบีร์ยด ดรากอน ควรทำความสะอาดมือก่อนทุกครั้ง สัตว์เลี้ยงพวกนี้ถ้าเลี้ยงดูได้ดีเเละเกิดการผสมพันธุ์กัน ออกลูกมายังสามารถจำหน่ายให้คนที่สนใจได้ เป็นการหารายได้เป็นค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ถ้าใครต้องการทำเชิงธุรกิจจริงๆ อาจจะต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกที แต่อย่างไรก็ตาม การทำเพื่อธุรกิจ ต้องเกิดจากความรักในสัตว์ที่เราทำด้วยครับ มันจะได้ไม่เป็นปัญหาต่อไป"

ชื่อสามัญ: เฟอเรท (Ferret)ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Mustela putorious Furo
สัตว์กินเนื้อขนาดเล็กชนิดหนึ่งในตระกูลโพลแคท (polecat)
ได้แก่ สกั๊งค์ แบดเจอร์ มิงค์หรือตัวโวลเวอรีเนส และอีกหลายชนิดด้วยกัน พบมากในทวีปยุโรป,อเมริกา มีลำตัวยาวหลังโค้งมีขนปลุกคลุมตามลำตัวหางมีขนเป็นพวง ขนมีหลายสีตามสายพันธุ์ เพศผู้มีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย อายุเฉลี่ย 6 -11 ปี พร้อมสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุ 6 -8 เดือนขึ้นไป มีลูกได้ปีละ 1- 2 ครอก น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ขีด – 2 กก. มีกลิ่นสาปเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอนหลับมากถึง 8 -16 ชม.ต่อวัน

จุดเด่นของเฟอเรทคือ ลักษณะนิสัยและรูปร่างหน้าตาที่น่ารัก ขี้เล่น ซุกซนชอบขุดคุ้ย
ชอบสำรวจ แม้จะไม่ฉลาดเท่าสุนัขหรือแมวแต่มันก็มีเสน่ห์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

จากสัตว์ป่ามาเป็นสัตว์เลี้ยง
เฟอเรทสายพันธ์ดั้งเดิมนั้น เรียกว่าแบลคฟุต (Black-foot ferret)
อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าและป่าละเมาะในทวีปอเมริกา สถานภาพของเฟอเรทแบลคฟุตนี้ได้จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธ์และ จัดอยู่ในรายชื่อของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของสัตว์ป่า และพืชป่าที่ไกล้จะสูญพันธุ์หรือไซเตส(CITES)

มนุษย์ได้นำเฟอเรทมาเลี้ยงมีหลักฐานมาตั้งแต่ ในสมัยโกรีกและโรมัน ด้วยความฉลาดแกมโกง ว่องไวปราดเปรียวสามารถฝึกให้เชื่องได้ จึงนิยมนำมาเลี้ยงไว้ใช้ล่าสัตว์ขนาดเล็ก
เช่น หนู กระรอก กระต่าย นกกระทาหรือนกพงหญ้าต่างๆ นิยมนำมาเลี้ยงเพื่อช่วยกำจัดศัตรูพืชในสวนและไร่นาและส่วนหนึ่งนำมาเป็น สัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่นในบ้าน บางกลุ่มนิยมเลี้ยงไว้เพื่อทำเสื้อขนสัตว์


ในสหรัฐอเมริกามีชมรม AFA (Amarican Ferret Association)

เป็นมูลนิธิให้การช่วยเหลือเฟอเรทที่ถูกทอดทิ้งรวมถึงอนุรักษ์พันธุ์เฟอเรท ดั้งเดิมไม่ให้สูญพันธุ์ ซึ่งในต่างประเทศเฟอเรทเป็นสัตว์ที่ได้รับความนิยมเลี้ยงเป็นอย่างมาก มีการจัดแข่งขันประกวดความสวยงามของแต่ละฟาร์มเลยทีเดียว และมีกิจกรรมของชมรมคนเลี้ยงเฟอเรททุกปี

สำหรับในประเทศไทยนั้น เฟอเรทได้นำเข้ามาเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามซึ่งก็ได้รับความสนใจ
จากกลุ่มผู้นิยมสัตว์ต่างถิ่นหรือสัตว์แปลก (Exotic Pet) พอสมควรซึ่งนำเข้าจาก สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ ฮอลแลนด์ เฟอเรทยังคงต้องอาศัยการนำเข้ามาจากต่างประเทศเพราะปริมาณยังไม่เพียงพอต่อ ความต้องการในตลาด ส่วนกลุ่มคนเลี้ยงในเมืองไทยก็เพิ่มมากขึ้น

พฤติกรรมและธรรมชาติของเฟอเรท

เฟอ เรท ใช้เวลานอน 6-8 ชั่วโมง และจะวิ่งเล่นประมาณ 12-18 ชั่วโมง แม้ว่าเฟอเรทจะนอนนานกว่าสัตว์อื่นๆแต่พวกมันตื่นตัวและจะพยายามทำให้ตัว เองออกจากกรงเพื่อที่จะออกกำลังกายและสนองความอยากรู้อยากเห็นของมัน
เฟอเรทชอบลากสิ่งของ ชอบมุด สนใจของสภาพแวดล้อมและบ่อยครั้งที่จะเล่นกับมนุษย์ บางรายมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการรักเจ้าของ สำหรับเฟอเรทบ่อยครั้งที่จะเล่นซ่อนหาหรือเอาอะไรซักอย่างไปซ่อน บ่อยครั้งเฟอเรทจะชวนเพื่อนเล่นหรือแสดงออกของความสุขเช่นการเต้นไปเต้นมา อาจจะกระโดดไปข้างหลังหรืออะไรทำนองนั้น บางทีอาจส่งเสียงที่อาจเหมือนเสียงฟ่อ โดยรวมแล้วคล้ายๆกับการเล่นมวยปล้ำประมาณนั้น

African pygmy hedgehog หรือ เม่นแคระ
หรือชื่อไทยอื่นๆ ที่เคยได้ยินคนเรียกขานถึงสัตว์ชนิดนี้กัน เช่น "เม่นจิ๋ว" ,"เม่นสี " ,"ทุเรียนเดินได้" ,"เงาะหนาม" ชื่อเหล่านี้ล้วนเกิดจากลักษณะจุดเด่นของสัตว์ตัวนี้ทั้งนั้น ด้วยลำตัวที่ปกคลุมไปด้วยหนามทั่วทั้งตัว หรือพฤติกรรมเพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรู ด้วยการขดตัวม้วนกลม จนมองไม่เห็นขา หรือหน้าตา นอกจากหนามรอบตัว

เม่นแคระถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก โตเต็มที่มีขนาดใกล้เคียงกับหนูแกสปี้ หากินตามพื้นดิน อาหารหลักคือพวกแมลง หนอน สัตว์เล็กๆที่อยู่ตามพื้นดิน ออกหากินในตอนกลางคืน และพักผ่อน หลบซ่อนตัวเองจากศัตรูในตอนกลางวัน

มีจุดเด่นคือ
ผิวหนังด้านบนจะปกคลุมด้วยหนามแข็งๆทั่วทั้งตัว โดยหนามจะมีโทนสีที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละตัว ส่วนผิวหนังด้านล่างส่วนท้องของลำตัวนั้นจะปกคลุมด้วยขนอ่อน มีลักษณะหยาบนิดหน่อย ไม่แข็งเป็นหนามเหมือนด้านบน

สำหรับถิ่นกำเนิดจุดเริ่มต้นของสัตว์ชนิดนี้ มาจากทวีปแอฟริกา และมีการนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง และ มีการพัฒนาสายพันธุ์กันในแถบยุโรป อเมริกา จนทำให้ได้ลักษณะเม่นที่แตกต่างกันมากมาย ทั้งในด้านของสีหนามและลักษณะภายนอกอื่นๆ จนมีการตั้งชื่อและกำหนดลักษณะมาตรฐานสีชื่อกันขึ้นมา

สำหรับประเทศไทยนั้น เม่นแคระได้ถูกนำเข้ามาเพื่อเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงตามบ้านเรือน เช่นเดียวกัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีจุดเด่นของตัวเอง เลี้ยงง่าย ดูแลก็ง่าย อีกทั้งพื้นที่ ที่ใช้ในการเลี้ยงก็น้อย และเรื่องของอาหารการกินที่ต้องจัดเตรียมให้เขา ก็ไม่ยุ่งยากมากนัก โดยเราสามารถให้อาหารแมวที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปได้ แล้วอาจจะเสริมด้วยหนอนนก(อาหารสุดโปรดของเม่นแคระ) หรือผลไม้ที่มีรสหวาน อาทิเช่น แอปเปิ้ล บ้างเป็นบ้างครั้งก็ได้

ลักษณะนิสัยของเม่นแคระ
เม่น แคระเป็นสัตว์สันโดษ หากินตัวเดียวในตอนกลางคืน กลางวันนอน มีนิสัยชอบอยู่ตัวเดียว หวงอาณาเขต บริเวณหากินของตัวเอง ดังนั้นไม่แนะนำให้เลี้ยงเม่นแคระมากกว่า 1 ตัวในพื้นที่เลี้ยงเดียวกัน เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เม่นแคระต่อสู้ กัดกัน เพื่อแย่งชิงอาณาเขตบริเวณในการหาอาหาร แนะนำให้เลี้ยงแยกกันโดยเด็ดขาด อาจจับรวมกันได้บ้าง กรณีต้องการจับคู่ผสมพันธุ์เมื่อเม่นแคระอยู่ในวัยที่เหมาะสม คือช่วงอายุประมาณ 5 เดือนขึ้นไป

เม่นแคระเป็นสัตว์ขี้ระแวง ชอบหลบซ่อนตัวในตอนกลางวัน ถ้ามีอะไรผิดปกติหรือไม่คุ้นเคย เม่นแคระมักจะซุกตัวหาที่ซ่อน หรือขดตัวม้วนกลม เก็บขา หน้าตา และทำหนามตั้งชันขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากอันตราย แต่หากเม่นแคระได้กลิ่นแปลกๆจากวัตถุ สิ่งของต่างๆ เม่นแคระมักจะกัดและเคี้ยววัตถุสิ่งของดังกล่าวจนเกิดเป็นฟองน้ำลาย แล้วนำฟองน้ำลายดังกล่าวมาแปะติดไว้ตามตัว เพื่อจดจำกลิ่นดังกล่าว หรือปรับตัวเองให้มีกลิ่นเหมือนสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยตามปรกติของเม่นแคระทุกๆตัว ดังนั้นควรระมัดระวัง และหาทางป้องกันไม่ให้เม่นได้รับอันตรายจากพฤติกรรมนี้ ด้วยการไปกัด เคี้ยววัตถุที่มีพิษ จนอาจทำให้ได้รับสารพิษดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายและเสียชีวิตได้ อีกอย่างผู้เลี้ยงเม่นแคระใหม่ๆ ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมนี้ จะได้ไม่ตกใจจนเกินเหตุ เมื่อเห็นเม่นแคระแสดงพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้นนี้ เช่น ตอนเปลี่ยนอาหารแมวรสใหม่ให้เม่นแคระ หรือการที่เปลี่ยนถ้วยอาหาร หรืออุปกรณ์ใหม่ๆเข้าไปในพื้นที่การเลี้ยงดู

การเลี้ยงดู
ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงเม่นแคระในประเทศไทย มักจะเลี้ยงเม่นแคระกันในกล่องพลาสติกทึบแสง ที่มีขายกันอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปๆ ขนาดพอประมาณ นำมาดัดแปลงกันเอาเอง ทั้งการเจาะรูด้านข้างด้วยสว่านเจาะ หรือการเจาะเป็นช่องแล้วนำตาข่ายมาติดด้วยน็อต หรือไม่ก็ใช้กาวแท่งร่วมกับปืนกาว ช่วยในการยึดติดตาข่าย เพื่อการระบายอาหารภายในกล่องเลี้ยงเม่นแคระ โดย 1 กล่องควรจะเลี้ยงเม่นแคระ แค่ตัวเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันการกัดกัน และการผสมพันธุ์กันก่อนวัยที่เหมาะสมของเม่นแคระ ซึ่งเป็นอันตรายทั้งตัวลูกและแม่เม่นแคระเอง

อุปกรณ์สำหรับการเลี้ยง
- ถ้วยสำหรับใส่อาหาร
- ขวดน้ำ
- ขี้เลื่อยสำหรับรองพื้นกล่อง แนะนำให้ใช้เป็นแบบก้อนอัดแท่ง
- วิตามินผสมน้ำเพื่อช่วยเพิ่มเติมสารอาหารที่ขาดหายไป
- แล้วอีกสิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คืออาหารแมว

การเลือกซื้อ
ควรเลือกซื้อจากผู้เลี้ยงที่มีความไว้วางใจ จะได้ไม่โดนหลอกเรื่องอายุของเม่นแคระ ทั้งเม่นแคระเล็กๆหลอกว่าอายุเยอะ ทั้งที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์แยกจากแม่ ทานอาหารแมวก็ยังไม่ได้ หรือ เม่นแคระที่มีอายุมากๆ กลับหลอกขายว่าอายุน้อยๆ

การผสมพันธุ์
เม่นแคระสามารถเจริญพันธุ์ได้เมื่อช่วงอายุประมาณ 4 เดือน แต่ช่วงนี้ยังเป็นช่วงที่ไม่เหมาะสมสำหรับการผสมพันธุ์ครับ เนื่องจากว่าเป็นช่วงที่เม่นเด็กเริ่มเตรียมความพร้อมของร่างกายเพื่อเป็น เม่นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างร่างกาย สำหรับการอุ้มท้อง ระดับฮอร์โมนในร่างกาย เพื่อการตกไข่ เปรียบเสมือนคนก็คือช่วงวัย teen age อายุประมาณ 12-19 ปี ซึ่งร่างกายอยู่ในช่วงปรับตัวเป็นผู้ใหญ่ ทั้งทางร่างกาย และฮอร์โมน การจับเม่นผสมพันธุ์ในช่วงนี้จึงเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เสี่ยงต่อการตายของลูกๆเม่น และตัวแม่เม่นเอง ดังนั้นระยะเวลาที่เห็นเหมาะสม โดยเม่นแคระน่าจะมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและระดับฮอร์โมนภายใน จึงควรจะเป็นอายุประมาณ 5 เดือนขึ้นไป โดยอาจจะดูความพร้อมสมบูรณ์ของตัวเม่นแคระ เป็นตัวประกอบด้วยนอกเหนือจากช่วงวัยอายุ


รูปของชูการ์ไกรเดอร์
ชูก้าไกเดอร์(Sugar glider)หรือที่เรียกกันว่า กระรอกบินออสเตเรีย
ชูก้าไกเดอร์ คือสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับเลี้ยงดูลูกอ่อน (pouch) มีถิ่นกำเหนิด ใน Australia,Tasmania,Papua-New Guinea และ Indonesia พวกมันเป็นสัตว์หา กินกลางคืน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนต้นไม้ ชูก้า มีน้ำหนัก ประมาณ 90-150 กรัม ขนาดของลำตัวตั้งแต่จมูกถึงปลายหางยาวประมาณ 12 นิ้ว มี ขนที่นิ่มละเอียด(มากๆครับ) แน่น เป็นสีเท่าหรือน้ำตาลตั้งแต่ลำตัวไปจนถึง หาง และมีแถบสีดำหรือน้ำตาลเข้มที่เริ่มระหว่างตา และ แผ่ขยายไปจนถึงแผ่น หลังของพวกมัน
ชูก้าไกเดอร์ มีดวงตาที่โปน และมีขนาดใหญ่ ขางลำตัวมีผังผืด ที่เหยียดจากข้อมือไปจนถึงข้อเท้าของพวกมันทั้งสองข้าง

การเลือกซื้อ
ในปัจจุบันชูก้าที่เข้ามาขายในไทยจะเป็นสายพันธ์ ออสเตเรียและ อินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันมีการผสมข้ามสายพันธืกันไปจนมั่วๆแล้ว สายออสเต เรียจะมีสีเงิน จากหน้าไปถึงหาง ส่วนอินโดจะออกสีน้ำตาลหรือส้มๆ ในการเลือก ซื้อควรเลือกซื้อชูก้าที่มีอายุ 2 เดือนขึ้นไปและเห็นว่า ทานอาหารจากหลอด ให้เห็นแล้ว เลือกตัวที่ซนร่าเริงปีนป่ายเก่งๆ แต่ปกติจะไม่เห็นเพราะชู ก้าเนสัตว์กลางคืน ตอนกลางวันจึงเอาแต่นอน ส่วนชูก้าสีอื่นๆเช่น ขาวตา แดง ส้ม หายากมากที่เข้ามาในประเทศไทยราคาตกอยู่ที่หลัก แสน ถ้าเอาเข้ามา ได้

การดูแลทั่วไป
ชูก้าไกเดอร์ เป็นสัตว์สังคม และต้องการความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก มันเป็นสัตว์สังคมต้องการเพื่อนเล่น คุณควรให้ความสนใจพวกมันและเล่นกับมัน บ่อย โดยการเล่นกับมันตั้งแต่เล็กจะทำให้มันติดคุณได้ และเมื่อเจอคุณอาจจะ กระโดเกาะเลยการเลี้ยงตัวเดียวไม่เป็นปัญหาถ้าคุณมีเวลาให้เค้าพอ
การอาบน้ำ ชูก้ามักจะทำควมสะอาดตนเองอยู๋เสมอเมือ่เราเห็นว่าตัวเค้ามี กลิ่น หรือ สกปรก ให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดแล้วเช็ดตามตัวเค้าก็พอแล้วครับ
การตัดเล็บ ชูก้ามักจะมีเล็บคมและเกาะเจ็บพอสมควร เราสามารถตัดเล็บ เค้าได้โดยนำกรรไกรตัดเล็บมาตัดตรงปลายๆเล็บ ระวังอย่าตัดลึกเพราะอาจโดน เส้นเลือดหรือเส้นประสาทได้ แรกๆอาจจะยากซักหน่อยเนื่องจากเค้าไม่ค่อยอยู่ เชคให้ตัดเพราะฉะนั้นต้องแอบตัดตอนนอน หรือ ตอนกินเนี่ยแหละครับดีที่สุด

ที่อยู่อาศัย
กรงที่ใส่ควรมีขนาดใหญ่และสูงพอสมควร(เน้นสูงดีกว่าครับ) และในกรงควรมี กิ่งไม้หรือที่ให้เค้าปีนป่ายอาจใส่ของเล่นลงไป เช่น กำไล กระจก ห่วง ควรมีการระบายอะกาศอย่างถ่ายเทพอสมควร หรือ ใช้ ตู้ปลาขนาด 24 นิ้วเป็นต้นไป ซึ่งกิ่งไม้หรือที่ปีบป่านจำเป็นมากสำหรับ มัน และควรมีถุงนอนหรือผ้าไว้ด้วย เพราะตอนนอนมันชอบจะไปซุกตามถุง ผ้า หรือ โพรง

อาหารการกิน
ชูก้าสามารถกินอาหารได้หลายประเพศ แยกออกเป็นแมลง ผักผล ไม้ และอาหารอื่น แมลง-จิ้งหรีด หนอนนก หนอนนกนับป็นอาหารที่โปรดปรานเป็น อันมากหรือพูดได้ว่ากินเท่าไร่ก็ไม่อิ่มเราควรให้เป็นอาหารเสริมซักอาทิตย์ ละไม่เกิน 20 ตัวพอครับ ผลไม้-ฝรั่ง มะละกอ มะมม่วงสุก แตงโม กล้วย แอบ เปิ้ล แคนตาลูป และอื่นๆครับ และยังสามารถให้อาหารจำพวกต่อไปนี้ได้อีก ครับ สำหรับชูก้าตัวเล็กที่ยังต้องป้อนจนถึงชูก้าแก่ๆก็ทานได้เหมือนกัน คือ ซีรีแลคครับ ที่นิยมใช้กันคือ เนสเล่ สูตร เริ่มต้นครับ เราอาจให้ อาหาร แมว โยเกิรด์ ขนมปัง หรือเหม็ดพืชก็ได้ไม่มีปัญหาครับ

การผสมพันธ์
อายุที่หร้อมผสมพันธ์ ตัวผู้จะอยู่ที่ 8 เดือนตัวเมียจะ อยู่ที่ 1 ปีครับการดูเพศตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้องใต้ท้องแบบจิงโจ้ครับ ลองสังเกตุกันดีดีบางคนอาจผสมได้เร็วกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวครับ ชู ก้าจะใช้เวลาตั้งท้องเพียงแค่16 วันและจะเลี้ยงลูกในกระเป๋าหน้าท้อง อีก 2 เดือน ซูก้าตัวน้อย จะออกมาจากตัวแม่ เพื่อเข้าถุงหน้าท้อง (เขาจะหา ทางเข้าเอง) และจะอยู่ในถุงหน้าท้องของแม่ ด้วยความปลอดภัยและอบอุ่น และจะ กินนมในถุงหน้าท้องของแม่ (ถ้าจับซูก้าตัวเมียดูที่ท้องเราจะมองไม่เห็น นม) เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ตัวเมียท้องเมื่อไร กว่าจะรู้อีกที ก็ท้อง ป่องแล้ว มีซูก้าตัวน้อยอยู่ในท้องเรียบร้อย เราจะสามารถมองเห็นซูก้าตัว น้อยเคลื่อนไหวได้จากถุงหน้าท้อง เมื่อซูก้าน้อยพร้อมที่จะออกมาดูโลก แล้ว เขาก็จะออกมาจากท้องแม่ แต่บางทีก็ยังกลับไปดูดนมในถุงหน้าท้องของแม่